Visa ประกาศเมื่อวันที่ 26 มีนาคมว่า บริการชำระเงินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้ให้บริการโทเคนมากกว่า 1 พันล้านรายการ และช่วยเพิ่ม “มูลค่า” ให้กับตลาดมากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
Visa Token Service (VST) นั้น เปิดตัวในปี 2014 ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างข้อมูลบัญชีธนาคารแบบดั้งเดิมกับบริการชำระเงินดิจิทัล เช่น Google Pay และ Apple Pay
โดยพื้นฐานแล้ว VST แทนที่หมายเลขบัตรเครดิต/เดบิตแบบเดิม 16 หลักที่ผู้บริโภคใช้เพื่อทำการซื้อด้วยโทเคนตัวเลขที่ปลอดภัย (secure numeric token) สิ่งนี้ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถแชร์ข้อมูลทางการเงินได้โดยไม่ต้องเปิดเผยรายละเอียดส่วนตัวหรือข้อมูลธนาคารของพวกเขา
VST ทำงานบน VisaNet เครือข่ายที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท เอกสารของบริษัทระบุว่า VisaNet สามารถจัดการข้อความธุรกรรมได้มากกว่า 56,000 ข้อความต่อวินาที
วิธีการชำระเงินแบบโทเคนมีประโยชน์มากในเรื่องของการชำระเงินระหว่างประเทศและการเดินทางต่างประเทศ การแลกเปลี่ยนเงินสดหรือการโอนเงินผ่านธนาคารระหว่างสกุลเงินย่อมมีอุปสรรคมากมาย การใช้สินทรัพย์ที่แปลงเป็นโทเคน (tokenized asset) เช่น คริปโตเคอร์เรนซี หรือบริการชำระเงินแบบโทเคน เช่น VST สามารถช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ในการทำธุรกรรมได้มาก
Visa ศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่า 97% ของนักเดินทางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกชอบชำระเงินโดยไม่ใช้เงินสด ในปี 2023 มีการใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ $2,525 ต่อการเดินทาง
TR Ramachandran หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นของ Visa ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวในแถลงการณ์ว่า โทเคนนั้น “ปูทางสู่การค้าในอนาคต”
ความเป็นไปได้ของนวัตกรรมนั้นมีมากมายสำหรับข้อมูลประจำตัวการชำระเงินแบบแบ่งส่วน (Tokenised payment credentials) ที่สามารถปลดล็อกประสบการณ์ของผู้บริโภคใหม่และเป็นส่วนตัวมากขึ้นนอกเหนือจากบัตร Visa จริง เรายังคงพัฒนาความสามารถที่ข้อมูลประจำตัวสมัยใหม่นำเสนอ โดยร่วมกับพันธมิตรของเรา เพื่อนำเสนอคุณค่าที่มากขึ้นสำหรับระบบนิเวศการชำระเงินทั้งหมด
Previn Pillay หัวหน้าฝ่ายขายและรับชำระเงินสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Visa เสริมว่า “สนับสนุนให้ร้านค้าใช้การชำระเงินแบบโทเคมากขึ้น เทคโนโลยีนี้สามารถส่งผลดีต่อทั้งรายได้และผลกำไรของร้านค้า”
ที่มา : cointelegraph.com
